บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

สติปัฏฐานหลวงพ่อเทียน



บทความนี้ เรามาดูกันซิว่า “สติปัฏฐาน 4” ของหลวงพ่อเทียนเป็นอย่างไรบ้าง แตกต่างไปจากสติปักฐาน 4 ของพระพม่ามากน้อยขนาดไหน อย่างไร

หนังสือ “ทำพระนิพพานให้แจ้ง” ของหลวงพ่อเทียน หน้าที่ 15  มีข้อความที่เน้นตัวหนาสีดำไว้ว่า

อันคำพูดนั้น ร้อยคำ พันคำ หมื่นคำ แสนคำก็ตาม สู้การกระทำให้เห็นแจ้งครั้งเดียวไม่ได้  สู้การกระทำให้เห็นแจ้งครั้งเดียวไม่ได้

เมื่อการกระทำเห็นแจ้งครั้งเดียวแล้ว มันซาบซึ้งตรึงใจอยู่กับสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นจึงว่ามีอยู่ในนั้น แต่ไม่เอาสิ่งนั้น เข้ามาใช้เท่านั้นเอง

ข้อความในส่วนนี้ หลวงพ่อเทียนก็ “เน้น” อย่างที่เคยเน้นมามาแล้วคือ ท่านไม่เชื่อเรื่องตำรา หรือปริยัติ  ท่านเชื่อเฉพาะการปฏิบัติที่ว่า “รู้สึกตัว” ตลอดเวลา

ท่านเห็นว่า ตำราหรือปริยัติทั้งหลายนั้น ไม่ว่าจะเป็นกี่คำก็ตาม “สู้การกระทำให้เห็นแจ้งครั้งเดียวไม่ได้   

ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น อย่างน้อย 2 ปัญหาต้องเกิดขึ้นแน่คือ

1) ท่านไม่เชื่อระบบ “ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ” ของพระพุทธเจ้า
2) เมื่อไม่เชื่อปริยัติ  ท่านจะเอาความรู้ที่ไหนเป็นแนวทางในการปฏิบัติ




ข้อให้อ่าน หนังสือ “ทำพระนิพพานให้แจ้ง” ของหลวงพ่อเทียน หน้าที่ 16-17  อย่างตั้งใจสักเล็กน้อย

หลวงพ่อเทียนกล่าวว่า “หลุดไปตามจังหวะของมัน” ตรงนี้ ถ้าว่ากันตามมาตรฐานของพุทธเถรวาททั่วๆ ก็น่าจะหมายถึง “กิเลส”  แต่หลวงพ่อเทียนไม่ได้หมายถึงกิเลส แต่เพียงอย่างเดียว  ท่านเน้นถึง “ความไม่รู้  มากกว่า

1) หลุดเรื่องรูปนาม
2) หลุดเรื่อง โทสะ โมหะ โลภะ
3) หลุดเรื่อง ความยึดมั่นถือมั่น
4) หลุดเรื่องความยึดติดเกี่ยวกับศีล
5) สงบจากความหลุดพ้น  สงบจากการไม่รู้

ข้อ 5 นี่แหละน่ากลัวมาก  ถ้าหลวงพ่อเทียนหมายถึงว่า เป็นการเข้านิพพานแล้วละก้อ  ฉิบหายวายป่วงกันเลยทีเดียว

เพราะ ไม่ใช่นิพพานของพระพุทธเจ้าของเราแน่ๆ

ขอย้ำก่อนว่า หลวงพ่อเทียนได้วิธีการปฏิบัติแบบนี้มาจากพระพม่า  คือ ไปเห็น “ติง-นิ่ง” มา  หลวงพ่อเทียนก็มาพัฒนาสมาธิแบบเคลื่อนไหวของท่าน

พระพม่านั้น อะไรๆ ก็ “สติปัฏฐานสูตร  ดังนั้น  ไม่ว่าจะปฏิบัติธรรมกันไปเป็นอสงไขยชาติ ก็ไปนิพพานไม่ได้  เพราะ “สติปัฏฐานสูตร” กำจัดกิเลสได้คร่าวๆ เท่านั้น เฉพาะกิเลสหยาบด้วย

จำพวกอนุสัย อาสวะ ทำอะไรไม่ได้เลย 

หลวงพ่อเทียนไปพัฒนาสติปัฏฐานสูตรของพม่าให้เหลือน้อยลงอีก คือ เหลือเพียงการเคลื่อนไหวแบบที่ท่านสอน

ดังนั้น  การปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จึงไม่สามารถกำจัดกิเลส กับสังโยชน์ได้  บุญบารมีที่จะได้กัน ก็น้อยมาก 

สำหรับสติปัฏฐานของหลวงพ่อเทียนก็ดูที่ผมเน้นโดยการระบายสีฟ้าไว้ 

ไม่ต้องเป็นคนในสายปฏิบัติธรรมอื่นๆ หรอก  แม้กระทั่ง สาวกพระพม่าด้วยกัน ก็รับสติปัฏฐานแบบของหลวงพ่อเทียนไม่ได้




รู้กับชีวิตตัวเอง



หลวงพ่อเทียนนั้น เคยเรียนสายพุทโธมาก่อน  แล้วก็น่าจะเคยเรียนวิชาธรรมกายด้วยเหมือนกัน แต่ท่านไม่เชื่อ  ทั้ง 2 สายนี้  รวมทั้งสายอื่นๆ ของประเทศไทยทั้งหมด

เมื่อท่านไปพบ “ติง-นิ่ง” ของพระพม่า  ท่านน่าจะชอบใจ แล้วไปพัฒนา “ติง-นิ่ง” ของพม่ามาเป็นของตัวท่านเอง 

สาวกของพระพม่าจะไม่ปฏิบัติธรรมหรือไม่ศึกษาพระสูตรอื่นใด จะศึกษาเฉพาะสติปัฏฐาน 4 เท่านั้น เพราะ เข้าใจผิดไปว่า สติปัฏฐาน 4 สามารถทำให้เข้านิพพานได้ภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วัน

สำหรับหลวงพ่อเทียนก้าวหน้าไปกว่านั้น  คือ ไปพัฒนาการเคลื่อนไหวแบบของท่านขึ้นมาเอง ซึ่งพระพม่าไม่เคยสอนอย่างนี้


 ขอให้ดูข้อความที่ผมเน้นโดยระบายสีเขียวไว้ที่ว่า

ธรรมะจึงมีอันเดียวเท่านั้น มีอันเดียวคือ รู้กับชีวิตตัวเองนี้เอง เรียกว่า ธรรมะแท้ ถ้าไม่รู้กับชีวิตตัวเองแล้ว อันนั้นก็เป็นความรู้แก้ปัญหาไม่ตก เป็นความรู้ของอวิชชา

จะเห็นว่า หลวงพ่อเทียนไปสรุปหัวข้อธรรมะทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ มาเหลือเพียงข้อเดียวคือ “รู้กับชีวิตตัวเอง 

สำหรับ “อวิชชา” ซึ่งโดยทั่วๆ ไปหมายถึง  ความไม่รู้ในอริยสัจ 4  หลวงพ่อเทียนก็มาตีความให้เหลือเพียง “ไม่รู้กับชีวิตตัวเอง

ความไม่รู้อันใด เป็นความไม่รู้ในทุกข์, เป็นความไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์, เป็นความไม่รู้ในความดับไม่เหลือของทุกข์ และเป็นความไม่รู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ : นี้เราเรียกว่า อวิชชา

มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๘/๑๖๙๔.

มาดูอีก  1 ข้อความที่ระบายสีเขียวไว้ แล้วก็เน้นขีดเส้นใต้สีแดงด้วย

พลิกมือขึ้น-รู้สึก ความมือลง-รู้สึก อันนี้เรียกว่า สติ-รู้สึก ไม่ใช่สติกำหนดรู้นะ  ถ้ากำหนดลงไปแล้ว มันหนัก มันติด มันยึด ถ้ากำหนดรู้แล้วมันเพ่ง....แน่ะ...คำว่าเพ่ง มันติด มันยึด มันลงตัวเดียว

ขอให้สังเกตคำนี้ไว้ให้ดี “รู้สึก   สาวกของพระพม่าที่แท้จริงจะเน้น “รู้สึก  อาจารย์แนบ มหานีรานนท์ก็สอนแบบนี้   วัดท่ามะโอ ลำปางก็สอนแบบนี้ 



จากข้อความที่เน้นไว้  จะให้ว่า หลวงพ่อเทียน “ทิ้ง” ตำราเลย  เหลือเพียง “เคลื่อนไหวเป็นจังหวะ” เท่านั้น

แล้วท่านก็คิดว่า การ “เคลื่อนไหวเป็นจังหวะ” คือ ธรรมชาติที่เที่ยงแท่แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง

ตอนนี้ ผมขอฟันธงไปก่อนเลยว่า หลวงพ่อเทียนเอง สาวกของหลวงพ่อเทียนทั้งหลาย  เมื่อตายไปแล้ว  ถ้าจะมีโอกาสได้ขึ้นสวรรค์  เต็มที่เลยก็แค่สวรรค์ชั้น 1 เท่านั้น

สาเหตุก็เพราะ หัวข้อธรรมะที่สำคัญๆ ของศาสนาพุทธ หลวงพ่อเทียนทิ้งไปหมดเลย  แล้วก็เชื่อว่า การ “เคลื่อนไหวเป็นจังหวะ” จะทำให้พ้นทุกข์ได้

ซึ่งผมขอยืนยันอีกครั้งว่า “เป็นไปไม่ได้  ถ้าการเคลื่อนไหวเป็นจังหวะสามารถทำให้ไปนิพพานได้  พวกวงดุริยางค์ทั้งหลาย ก็คงไปนิพพานกันหมดแล้ว